ประวัติบ้านดินจี่
ราวปีพุทธศักราช
2314 เกิดความวุ่นวายขึ้นที่อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทร์ พระวอ พระตาซึ่งเป็นมหาเสนาบดี
ได้ผิดใจกับพระเจ้าสิริบุญสารผู้ครองนครเีวียงจันทร์ จึงอพยพไพร่พล (พร้อมด้วยบรรพบุรุษของชาวบ้านดินจี่) ข้ามแม่น้ำโขงมาทางทิศใต้ มาที่สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ชื่อหนองบัวลุ่มภู(หนองบัวลำภู)
แต่เจ้าสิริบุญสารยกทัพมาตีแตกพ่าย พระตาตายในสนามรบ พระวอและเจ้าผ้าขาว(เจ้าโสมพมิตร)
และบรรดาเจ้าฟ้า ขุนนาง รวมทั้งไพร่พลจึงหลบหนีออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก เพื่อสมทบกับเจ้าคำสิงห์ซึ่งตั้งบ้านเมืองรอที่บ้านสิงห์ท่า(ปัจจุบันคือ
เมืองยโสธร) เมื่อมาถึงบ้านผ้าขาวพันนา(เขตสกลนคร) เจ้าผ้าขาวหรือเจ้าโสมพมิตรได้ขอแยกหยุดพักตั้งหลัก
และเดินทางลงใต้ข้ามเทือกเขาภูพานมาตั้งหลักที่บ้านกลางหมื่น(ปัจจุบันคือ ตำบลกลางหมื่น
อ.เมืองกาฬสินธุ์) พักได้ปีเศษก็พบทำเลเหมาะจึงย้ายไพร่พลไปตั้งบ้านแก่งสำโรงที่ชายดงสง
เปลือย(เมืองกาฬสินธุ์ปัจจุบัน)ราวๆปี พุทธศักราช 2336 ก็ได้รับการตั้งเป็นเมืองกาฬสินธุ์มีเจ้าโสมพมิตรเป็นเจ้าเมืองคนแรก
นามว่า พระยาชัยสุนทร
ส่วนทางด้านของพระวอพร้อมด้วยเจ้าคำผง
ได้พาไพร่พลเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อไปพบเจ้าคำสิงห์ที่บ้าน สิงห์ท่า แต่เนื่องจากพระวอเห็นว่าหากอยู่ที่นี่เกรงจะตายกันหมดจึงอยู่ไม่นานและก็
ย้ายลงใต้มาอยู่เกาะกลางลำน้ำมูลเรียกว่า "ดอนมดแดง" ได้ขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์อนุญาตให้อยู่ได้
ให้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในบริเวณตำบลเวียงดอน-กอง หรือที่เรียกว่าบ้านดู่บ้านแก
(แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์)
ต่อมาใน พ.ศ. 2314
(จ.ศ. 1133 ปีเถาะ ตรีศก) รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระเจ้าสิริบุญสารทราบว่า พระวออพยพครอบครัวไพร่พลมาตั้งอยู่ที่เวียงดอนกอง
แขวงเมืองนคร-จำปาศักดิ์ จึงให้อัครฮาดคุมกำลังกองทัพลงมาปราบปรามพระวออีกเมื่อพระเจ้าองค์หลวงไชย
กุมาร ทราบเหตุ จึงให้พระยาพลเชียงสา ยกทัพจากเมืองนครจำปาศักดิ์ มาช่วยพระวอต้านทานทัพของพระ-เจ้าสิริบุญสาร
พร้อมทั้งทรงมีศุภอักษรไปถึงพระเจ้าสิริบุญสาร เพื่อขอยกโทษให้พระวอ พระเจ้าสิริบุญ-สารมีพระราชสาส์นตอบมาว่า
“พระวอเป็นคนอกตัญญู จะเลี้ยงไว้ก็คงไม่มีความเจริญแต่เมื่อเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ให้มาขอโทษไว้
ดังนี้แล้ว ก็จะยกให้มิให้เสียไมตรี” จากนั้นพระองค์จึงโปรดให้อัครฮาดยกกำลังกองทัพกลับนครเีวียงจันทร์
ในปลายปี พ.ศ. 2314
พระวอเกิดขัดใจกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารเกี่ยวกับกรณีการสร้างเมืองใหม่
ที่ตำบลศรีสุมังของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร จึงอพยพครอบครัวไพร่พลมาอยู่ที่บริเวณดอนมดแดง
(ริมฝั่งซ้ายแม่น้ำมูล ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี
ไปทางทิศตะวันออกระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร)
ต่อมาเมื่อ
พ.ศ. 2319 (จ.ศ. 1138 ปีวอก อัฐศก) พระเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างพระวอกับพระเจ้าองค์หลวงไชย
กุมาร พระวออพยพครอบครัวไพร่พล มาอยู่ที่ดอนมดแดง พระองค์จึงแต่งตั้งให้พระยาสุโพคุมกำลังกองทัพไปรุกรานพระวออีกครั้งหนึ่ง
พระวอเห็นว่ากำลังของตนมีน้อยคงไม่สามารถจะต้านทานไว้ได้ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลกลับไปอยู่ที่เวียงดอน-กองตามเดิม
พร้อมกับขอกำลังกองทัพจากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ์มาช่วยเหลือ แต่เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ไม่ยอมให้เพราะความบาดหมางใจกันเมื่อหลายปีก่อนผล
ที่สุดกองกำลังของ พระวอจึงพ่ายแพ้ พระวอถูกจับได้และถูกประหารชีวิตที่เวียงดอนกองนั้นเอง
ส่วนท้าวคำผง ท้าวฝ่าย-หน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำ บุตรพระวอจึงได้พาครอบครัวไพร่พลหนีออกจากวงล้อมของกองทัพเีวียงจันทร์
เจ้าคำผงน้องเจ้าพระวอและบริวารจึงได้อพยพกลับไปยังดอนมดแดง แต่เนื่องจากเป็นที่ต่ำไม่เหมาะสมที่จะสร้างเมืองจึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูล
ถึงห้วยแจระแม แล้วมาสร้างเมืองใหม่ที่ดงอู่ผึ้งเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๓๒๒ แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่ตั้งว่า
"เมืองอุบล"
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเมืองเดิมของตน(เจ้าคำผง) คือเมืองหนองบัวลุมภู
จากนั้นเจ้าคำผงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองอุบล
และได้รับพระราชทินนามว่า "พระปทุมสุรราช"
จากนั้นบรรพบุรุษของชาวบ้านดินจี่ก็ได้อพยพย้ายถิ่นจากบ้านแจละแม
ขึ้นมาทางทิศเหนือตามแนวเทือกเขาภูพาน มาจนถึงพื้นที่ที่เหมาะสม สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่ม
มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวข่าชาวขอม(สมัยขอมเรืองอำนาจยุคเมืองฟ้าแดสงยาง
ถึงยุคเมืองหนองหารหลวง เนื่องจากขุดพบวัตถุโบราณศิลปะขอมกระจายอยู่ทั่วไปแต่นที่ขุดพบส่วนใหญ่ขาย
ไปหมดแล้ว เช่นลูกปัด กำไล กล้องยาสูบฯลฯ) จึงได้พากันจัดตั้งหมู่บ้านขึ้นมา
แล้วต่อมาได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า "บ้านไผ่ภูวงค์"
ขึ้นสังกัดเมืองแซงกะดาน(ปัจจุบันคือ ต.แซงบาดาล อ.สมเด็จ) มีผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ
“จันท้อย” ซึ่งใช้นามสกุลว่า “อำแดง” (ซึ่งได้มีการขุดพบหลักฐานทางโบราณวัตถุ
เชื่อกันว่าบริเวณดังกล่าว เป็นสถานที่ก่อสร้างที่เกี่ยวของกับพระพุทธศาสนา
วัตถุที่ขุดพบคือ ไห ถ้วย จอบ เสียม พระพุทธรูปศิลปะแบบล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ 24
และ พบกำแพง ซึ่งเป็นลักษณะกำแพงวัด ล้วนแต่เป็นวัตถุโบราณจำนวนมากอยู่บริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน
ดินจี่ปัจจุบัน ประมาณ 2
กิโลเมตร
ซึ่งได้ทราบภายหลังว่า เป็นที่ตั้งวัดมาก่อน เรียกว่าวัดเหล่าใหญ่ ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวได้กลายเป็นทุ่งนาจนเกือบหมด
)
หลายปีผ่านมาสมัยพร้อมกับตั้งเมืองกาฬสินธุ์ ได้มีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง
(เดิมอยู่บ้านไผ่ภูวงค์) แยกตัวออกมา ย้ายรกรากถอยร่นลงมาตั้งหมู่บ้านใหม่(ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดบางก็ว่า
เกิดโรคระบาด บ้งก็ว่าหนีภัยจากสัตว์ร้ายซึ่งแต่ก่อนมีมากเพราะห่างจากภูเขาแ่ค่ 1 กิโลเมตร) ซึ่งได้บอกเล่ากันมาว่าได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง (ชื่อหลวงปู่หลักคำ) เป็นผู้หนึ่งร่วมก่อตั้งเมืองกาฬสินธุ์
พร้อมด้วยนายขี้เถ่า นางโหน่ง สองผัวเมียซึ่งเป็นผู้นำในการย้ายออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่
เมื่อได้ก่อตั้งหมู่บ้านเสร็จแล้ว จึงได้พากันก่อสร้างวัด จึงได้พากันคิดและทำ แล้วไปหาขุดดินเหนียวบริเวณด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน(ปัจจุบันเรียกแถวนั้น
ว่านาดินจี่) มาปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ 6×12 นิ้วมาเผาไฟเพื่อเกิดความแข็งแรง
เพื่อที่จะเอาไปก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ การเอาดินมาปั้นเป็นสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเผาไฟนั้น
จึงกลายมาเป็นก้อนอิฐ นำมาก่อสร้างเป็นฐานล่างของศาลาลงธรรมวัดโพธิ์ชัยดินจี่
(ศาลาการเปรียญหลังเดิม ประมาณ 100 ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันได้สูญหายไปหมดแล้ว) คงเหลือเพียงกำแพงวัดทางทิศตะวันออกแต่ก็ถูกโบกปูนทับจนไม่เหลือเค้าโครง
เดิม และยังมีก้อนอิฐ บางส่วนที่ถูกเก็บไว้ใต้ฐานสิม หรืออุโบสถหลังปัจจุบัน
เป็นจำนวนมากชาวบ้านเรืยก"สะดือสิม" (บ้างก็ว่าเก็บมาจากหล่าใหญ่
แต่บ้างก็ว่าเป็นฐานพระประธานเดิมที่ถูกรื้อไป)
เดิมชาวบ้านเรียกว่า เอาก้อนดินมาจี่ไฟ (จี่ หมายถึง เผา)
ต่อมาชาวบ้านก็ได้พากันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า
“บ้าน
ดินจี่” (เนื่องจากเอาดินมาจี่ไฟ)
ตามชื่อก้อนดินที่นำมาเผาไฟ เป็นก้อนอิฐนั่นเอง สมัยก่อนยังไม่มีนามสกุลใช้ ชาวบ้านก็เลยได้ตั้งนามสกุลใช้ชื่อว่า
“ก้อนดินจี่ “(เป็นนามสกุลที่มีมากที่สุด
และนามสกุลอื่นๆอีก) ตามที่ได้มีการเอาก้อนดินมาจี่ไฟนั่นเอง จนถึงทุกวันนี้
......ข้อมูลจาก เฟสบู๊คของพี่ซุ่ม ลูกชายแม่เข็มพร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น