tag:blogger.com,1999:blog-48947913752272907242024-02-08T07:41:37.015-08:00ประวัติบ้านดินจี่Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03383197014515878879noreply@blogger.comBlogger2125tag:blogger.com,1999:blog-4894791375227290724.post-29499684513518237542012-02-26T21:47:00.000-08:002012-02-26T21:47:47.674-08:00ประวัติบ้านดินจี่: ประวัติบ้านดินจี่ราวปีพุทธศักราช2314 เกิดความวุ่น...<a href="http://tam1204.blogspot.com/2012/02/2314.html?spref=bl">ประวัติบ้านดินจี่: ประวัติบ้านดินจี่<br />ราวปีพุทธศักราช2314 เกิดความวุ่น...</a>: ประวัติบ้านดินจี่ ราวปีพุทธศักราช 2314 เกิดความวุ่นวายขึ้นที่อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทร์ พระวอ พระตาซึ่งเป็นมหาเสนาบดี ได้ผิดใจกับพร...Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03383197014515878879noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-4894791375227290724.post-88395938622180225012012-02-26T21:44:00.001-08:002012-02-26T21:44:57.254-08:00<br />
<blockquote class="tr_bq" style="color: #cc0000;">
<div align="center" style="text-align: center;">
<b><span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 18pt;">ประวัติบ้านดินจี่</span></b></div>
</blockquote>
<div align="center" style="text-align: center;">
<br /></div>
<div style="color: #351c75;">
<span lang="TH" style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">ราวปีพุทธศักราช
</span><span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">2314 <span lang="TH">เกิดความวุ่นวายขึ้นที่อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทร์ พระวอ พระตาซึ่งเป็นมหาเสนาบดี
ได้ผิดใจกับพระเจ้าสิริบุญสารผู้ครองนครเีวียงจันทร์ จึงอพยพไพร่พล</span> (<span lang="TH">พร้อมด้วยบรรพบุรุษของชาวบ้านดินจี่) ข้ามแม่น้ำโขงมาทางทิศใต้ มาที่สร้างบ้านแปลงเมืองใหม่ชื่อหนองบัวลุ่มภู(หนองบัวลำภู)
แต่เจ้าสิริบุญสารยกทัพมาตีแตกพ่าย พระตาตายในสนามรบ พระวอและเจ้าผ้าขาว(เจ้าโสมพมิตร)
และบรรดาเจ้าฟ้า ขุนนาง รวมทั้งไพร่พลจึงหลบหนีออกจากเมืองไปทางทิศตะวันออก เพื่อสมทบกับเจ้าคำสิงห์ซึ่งตั้งบ้านเมืองรอที่บ้านสิงห์ท่า(ปัจจุบันคือ
เมืองยโสธร) เมื่อมาถึงบ้านผ้าขาวพันนา(เขตสกลนคร) เจ้าผ้าขาวหรือเจ้าโสมพมิตรได้ขอแยกหยุดพักตั้งหลัก
และเดินทางลงใต้ข้ามเทือกเขาภูพานมาตั้งหลักที่บ้านกลางหมื่น(ปัจจุบันคือ ตำบลกลางหมื่น
อ.เมืองกาฬสินธุ์) พักได้ปีเศษก็พบทำเลเหมาะจึงย้ายไพร่พลไปตั้งบ้านแก่งสำโรงที่ชายดงสง
เปลือย(เมืองกาฬสินธุ์ปัจจุบัน)ราวๆปี พุทธศักราช </span>2336 <span lang="TH">ก็ได้รับการตั้งเป็นเมืองกาฬสินธุ์มีเจ้าโสมพมิตรเป็นเจ้าเมืองคนแรก
นามว่า พระยาชัยสุนทร</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">ส่วนทางด้านของพระวอพร้อมด้วยเจ้าคำผง
ได้พาไพร่พลเดินทางไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพื่อไปพบเจ้าคำสิงห์ที่บ้าน สิงห์ท่า แต่เนื่องจากพระวอเห็นว่าหากอยู่ที่นี่เกรงจะตายกันหมดจึงอยู่ไม่นานและก็
ย้ายลงใต้มาอยู่เกาะกลางลำน้ำมูลเรียกว่า "ดอนมดแดง"</span> <span lang="TH">ได้ขอพึ่งพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เจ้าผู้ครองนครจำปาศักดิ์ เจ้านครจำปาศักดิ์อนุญาตให้อยู่ได้
ให้ตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ในบริเวณตำบลเวียงดอน-กอง หรือที่เรียกว่าบ้านดู่บ้านแก
(แขวงเมืองนครจำปาศักดิ์)</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">ต่อมาใน พ.ศ. </span>2314
(<span lang="TH">จ.ศ. </span>1133 <span lang="TH">ปีเถาะ ตรีศก) รัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
พระเจ้าสิริบุญสารทราบว่า พระวออพยพครอบครัวไพร่พลมาตั้งอยู่ที่เวียงดอนกอง
แขวงเมืองนคร-จำปาศักดิ์ จึงให้อัครฮาดคุมกำลังกองทัพลงมาปราบปรามพระวออีกเมื่อพระเจ้าองค์หลวงไชย
กุมาร ทราบเหตุ จึงให้พระยาพลเชียงสา ยกทัพจากเมืองนครจำปาศักดิ์ มาช่วยพระวอต้านทานทัพของพระ-เจ้าสิริบุญสาร
พร้อมทั้งทรงมีศุภอักษรไปถึงพระเจ้าสิริบุญสาร เพื่อขอยกโทษให้พระวอ พระเจ้าสิริบุญ-สารมีพระราชสาส์นตอบมาว่า
</span>“<span lang="TH">พระวอเป็นคนอกตัญญู จะเลี้ยงไว้ก็คงไม่มีความเจริญแต่เมื่อเจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ให้มาขอโทษไว้
ดังนี้แล้ว ก็จะยกให้มิให้เสียไมตรี</span>” <span lang="TH">จากนั้นพระองค์จึงโปรดให้อัครฮาดยกกำลังกองทัพกลับนครเีวียงจันทร์</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">ในปลายปี พ.ศ. </span>2314
<span lang="TH">พระวอเกิดขัดใจกับพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารเกี่ยวกับกรณีการสร้างเมืองใหม่
ที่ตำบลศรีสุมังของพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร จึงอพยพครอบครัวไพร่พลมาอยู่ที่บริเวณดอนมดแดง
(ริมฝั่งซ้ายแม่น้ำมูล ห่างจากที่ตั้งศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี
ไปทางทิศตะวันออกระยะทางประมาณ</span> 16 <span lang="TH">กิโลเมตร</span><span lang="TH">)</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">ต่อมาเมื่อ
พ.ศ. </span>2319 (<span lang="TH">จ.ศ. </span>1138 <span lang="TH">ปีวอก อัฐศก) พระเจ้าสิริบุญสารทราบข่าวการทะเลาะวิวาทระหว่างพระวอกับพระเจ้าองค์หลวงไชย
กุมาร พระวออพยพครอบครัวไพร่พล มาอยู่ที่ดอนมดแดง พระองค์จึงแต่งตั้งให้พระยาสุโพคุมกำลังกองทัพไปรุกรานพระวออีกครั้งหนึ่ง
พระวอเห็นว่ากำลังของตนมีน้อยคงไม่สามารถจะต้านทานไว้ได้ จึงอพยพครอบครัวไพร่พลกลับไปอยู่ที่เวียงดอน-กองตามเดิม
พร้อมกับขอกำลังกองทัพจากพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมาร เมืองจำปาศักดิ์มาช่วยเหลือ แต่เจ้าเมืองนครจำปาศักดิ์ไม่ยอมให้เพราะความบาดหมางใจกันเมื่อหลายปีก่อนผล
ที่สุดกองกำลังของ พระวอจึงพ่ายแพ้ พระวอถูกจับได้และถูกประหารชีวิตที่เวียงดอนกองนั้นเอง
ส่วนท้าวคำผง ท้าวฝ่าย-หน้า ท้าวทิดพรหม บุตรพระตา และท้าวก่ำ บุตรพระวอจึงได้พาครอบครัวไพร่พลหนีออกจากวงล้อมของกองทัพเีวียงจันทร์
เจ้าคำผงน้องเจ้าพระวอและบริวารจึงได้อพยพกลับไปยังดอนมดแดง แต่เนื่องจากเป็นที่ต่ำไม่เหมาะสมที่จะสร้างเมืองจึงอพยพขึ้นมาตามลำน้ำมูล
ถึงห้วยแจระแม แล้วมาสร้างเมืองใหม่ที่ดงอู่ผึ้งเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๓๒๒ แล้วมีหนังสือกราบบังคมทูลขอขึ้นอยู่ในขอบขัณฑสีมาของสมเด็จพระเจ้า
ตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่ตั้งว่า</span>
"<span lang="TH">เมืองอุบล"
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเมืองเดิมของตน(เจ้าคำผง) คือเมืองหนองบัวลุมภู
จากนั้นเจ้าคำผงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นเจ้าเมืองคนแรกของเมืองอุบล
และได้รับพระราชทินนามว่า</span> "<span lang="TH">พระปทุมสุรราช"</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">จากนั้นบรรพบุรุษของชาวบ้านดินจี่ก็ได้อพยพย้ายถิ่นจากบ้านแจละแม
ขึ้นมาทางทิศเหนือตามแนวเทือกเขาภูพาน มาจนถึงพื้นที่ที่เหมาะสม สภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่ม
มีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ เดิมเป็นถิ่นที่อยู่ของชาวข่าชาวขอม(สมัยขอมเรืองอำนาจยุคเมืองฟ้าแดสงยาง
ถึงยุคเมืองหนองหารหลวง เนื่องจากขุดพบวัตถุโบราณศิลปะขอมกระจายอยู่ทั่วไปแต่นที่ขุดพบส่วนใหญ่ขาย
ไปหมดแล้ว เช่นลูกปัด กำไล กล้องยาสูบฯลฯ) จึงได้พากันจัดตั้งหมู่บ้านขึ้นมา
แล้วต่อมาได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า</span> "<span lang="TH">บ้านไผ่ภูวงค์"
ขึ้นสังกัดเมืองแซงกะดาน(ปัจจุบันคือ ต.แซงบาดาล อ.สมเด็จ) มีผู้ใหญ่บ้านคนแรกชื่อ
</span>“<span lang="TH">จันท้อย</span>” <span lang="TH">ซึ่งใช้นามสกุลว่า </span>“<span lang="TH">อำแดง</span>” (<span lang="TH">ซึ่งได้มีการขุดพบหลักฐานทางโบราณวัตถุ
เชื่อกันว่าบริเวณดังกล่าว เป็นสถานที่ก่อสร้างที่เกี่ยวของกับพระพุทธศาสนา
วัตถุที่ขุดพบคือ ไห ถ้วย จอบ เสียม พระพุทธรูปศิลปะแบบล้านช้าง ราวพุทธศตวรรษที่ </span>24
<span lang="TH">และ พบกำแพง ซึ่งเป็นลักษณะกำแพงวัด ล้วนแต่เป็นวัตถุโบราณจำนวนมากอยู่บริเวณทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน
ดินจี่ปัจจุบัน ประมาณ </span>2
<span lang="TH">กิโลเมตร</span><span lang="TH">
ซึ่งได้ทราบภายหลังว่า เป็นที่ตั้งวัดมาก่อน เรียกว่าวัดเหล่าใหญ่ ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวได้กลายเป็นทุ่งนาจนเกือบหมด
)</span> </span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">หลายปีผ่านมาสมัยพร้อมกับตั้งเมืองกาฬสินธุ์</span> <span lang="TH">ได้มีผู้คนอีกกลุ่มหนึ่ง
(เดิมอยู่บ้านไผ่ภูวงค์) แยกตัวออกมา ย้ายรกรากถอยร่นลงมาตั้งหมู่บ้านใหม่(ยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดบางก็ว่า
เกิดโรคระบาด บ้งก็ว่าหนีภัยจากสัตว์ร้ายซึ่งแต่ก่อนมีมากเพราะห่างจากภูเขาแ่ค่ </span>1 <span lang="TH">กิโลเมตร</span><span lang="TH">) ซึ่งได้บอกเล่ากันมาว่าได้มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง (ชื่อหลวงปู่หลักคำ) เป็นผู้หนึ่งร่วมก่อตั้งเมืองกาฬสินธุ์
พร้อมด้วยนายขี้เถ่า นางโหน่ง สองผัวเมียซึ่งเป็นผู้นำในการย้ายออกมาตั้งหมู่บ้านใหม่
เมื่อได้ก่อตั้งหมู่บ้านเสร็จแล้ว จึงได้พากันก่อสร้างวัด จึงได้พากันคิดและทำ แล้วไปหาขุดดินเหนียวบริเวณด้านทิศตะวันตกของหมู่บ้าน(ปัจจุบันเรียกแถวนั้น
ว่านาดินจี่) มาปั้นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดประมาณ </span>6×12 <span lang="TH">นิ้วมาเผาไฟเพื่อเกิดความแข็งแรง
เพื่อที่จะเอาไปก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ การเอาดินมาปั้นเป็นสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเผาไฟนั้น
จึงกลายมาเป็นก้อนอิฐ นำมาก่อสร้างเป็นฐานล่างของศาลาลงธรรมวัดโพธิ์ชัยดินจี่</span>
(<span lang="TH">ศาลาการเปรียญหลังเดิม ประมาณ </span>100 <span lang="TH">ปีที่ผ่านมา
ปัจจุบันได้สูญหายไปหมดแล้ว) คงเหลือเพียงกำแพงวัดทางทิศตะวันออกแต่ก็ถูกโบกปูนทับจนไม่เหลือเค้าโครง
เดิม และยังมีก้อนอิฐ บางส่วนที่ถูกเก็บไว้ใต้ฐานสิม หรืออุโบสถหลังปัจจุบัน
เป็นจำนวนมากชาวบ้านเรืยก"สะดือสิม"</span> (<span lang="TH">บ้างก็ว่าเก็บมาจากหล่าใหญ่
แต่บ้างก็ว่าเป็นฐานพระประธานเดิมที่ถูกรื้อไป)</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">
<span lang="TH">เดิมชาวบ้านเรียกว่า เอาก้อนดินมาจี่ไฟ (จี่ หมายถึง เผา)
ต่อมาชาวบ้านก็ได้พากันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;">“<span lang="TH">บ้าน
ดินจี่</span>” (<span lang="TH">เนื่องจากเอาดินมาจี่ไฟ)
ตามชื่อก้อนดินที่นำมาเผาไฟ เป็นก้อนอิฐนั่นเอง สมัยก่อนยังไม่มีนามสกุลใช้ ชาวบ้านก็เลยได้ตั้งนามสกุลใช้ชื่อว่า
</span>“<span lang="TH">ก้อนดินจี่</span> “(<span lang="TH">เป็นนามสกุลที่มีมากที่สุด
และนามสกุลอื่นๆอีก) ตามที่ได้มีการเอาก้อนดินมาจี่ไฟนั่นเอง จนถึงทุกวันนี้</span></span></div>
<div style="color: #351c75;">
<br /></div>
<div style="color: #351c75;">
<span style="font-family: "TH SarabunPSK"; font-size: 16pt;"><span lang="TH">......ข้อมูลจาก เฟสบู๊คของพี่ซุ่ม ลูกชายแม่เข็มพร </span></span></div>Anonymoushttp://www.blogger.com/profile/03383197014515878879noreply@blogger.com0